เที่ยวมาเก๊า 1 วัน (ครึ่ง) คนเดียว #โดดเดี่ยวอย่างเฉิดฉาย
บินกับ Air Macau โหลดกระเป๋าฟรี มีอาหารให้
เริ่มต้นทริปดี ๆ ด้วยการเกือบตกเครื่องตามสไตล์เรา (อย่าเลียนแบบเชียว) เพราะเพิ่งบินกลับจากต่างจังหวัดมาถึงตอนตี 2 ตลอดทั้งวันก็ไล่ทำธุระนู่นนี่ ถึงเวลาจะเรียกรถไปสนามบินดันไม่มีใครกดรับเลย เอาแล้วสิ เริ่มเลิ่กลั่ก จนในที่สุดเราก็เรียกรถได้จาก Line Taxi พอขึ้นรถไปใจตุ๊ม ๆ ต่อม ๆ ค้นหาเวลาปิดเคาเตอร์เช็คอินก่อนเลย สายการบินอื่น ๆ จะปิดประมาณ 1 ชม.ก่อนเครื่องออก แต่ Air Macau เคาเตอร์ปิดก่อน 40 นาที เราไปถึงพอดีเป๊ะๆ และต้องไปเช็คอินและโหลดกระเป๋าตรงช่องทางพิเศษ Air Macau ให้โหลดนน.กระเป๋าได้ฟรี 20 กิโล แถมบนเครื่องมีอาหารให้ด้วย อร่อยเชียวล่ะ
แลนดิ้งที่มาเก๊าประมาณเกือบ ๆ ตีสามตามเวลาท้องถิ่น อุณหภูมิตามที่รีเสิร์ชมาก่อนล่วงหน้าและตาม iPhone ในเดือนมกราคมอย่างนี้คือ 18-19 องศา แต่ความจริงคือ feel like 13 องศา งานเข้าแล้วขรั่บ มีเสื้อคลุมตัวเล็กๆ มา 1 ตัวกับเสื้อแขนยาวบางๆ ทำไม iPhone ถึงทำกับฉันได้ (ทำไมฉันถึงเชื่อมันดีกว่า)
เราใช้ Sim2Fly ของ AIS เป็นประจำอยู่แล้ว ครั้งนี้ก็เลือกใช้เจ้าเดิม ราคา 399 บาท ใช้มา 4 ประเทศ เน็ตเสถียรตลอดไม่เคยมีปัญหาใดๆ แค่เอาซิมใส่แล้วเปิด Data Roaming ในมือถือก็ใช้งานได้แล้ว ใครที่เดินทางบ่อย ๆ แนะนำให้เก็บซิมไว้แล้วคอยเติมเงินไม่ให้ซิมหมดอายุ ครั้งต่อไปแค่เติมแพคเกจ ราคา 299 บาท ก็กลับมาใช้ได้อีกครั้งแล้ว
หลังจากรีเสิร์ชจากหลายแหล่ง เราก็ค้นพบประกันที่ใช่ ในราคาที่ชอบ นั่นก็คือ ไทยวิวัฒน์ นั่นเอง เขาเคลมว่าประกันเจ้านี้ไม่ต้องสำรองเงินจ่ายก่อนหากมีเหตุด่วนเหตุร้ายต้องเข้าโรงพยาบาล แถมยังมีแพคเกจหลายแบบให้เลือกทั้ง
1. แบบจ่ายครั้งเดียว เลือกตามจำนวนวันที่ไป
2. แบบเปิด-ปิด เลือกแพคเกจแบบ 10 วัน 20 วัน 30 วัน แล้วสร้างทริปเปิด-ปิดวันใช้งานได้เองในแอป
3. แบบรายปี จ่ายทีเดียวไปกี่วันก็ได้ใน 1 ปี ใครเดินทางบ่อย ๆ แบบนี้คุ้มสุด
ส่วนความคุ้มครองก็แล้วแต่แพคเกจที่เลือกเลย ส่วนเราเลือกซื้อแบบ Gold
ที่พักในมาเก๊าราคาดูจะสูงกว่าที่ฮ่องกงสำหรับเรา เพราะที่นี่แทบไม่มี Hostel แบบ Dormitory เลย การพักคนเดียว ห้องเดียว ๆ ราคาก็เลยค่อนข้างสูง เราเลือกพักที่ Home of Macau ตกราคาคืนละประมาณ 1,300 บาท ห้องค่อนข้างดีถูกใจเราเลย สะอาดสะอ้าน ติดก็แต่ไม่มีลิฟต์ เราก็เลยต้องหอบกระเป๋าเดินทาง 17 โลขึ้นบันไดกว่า 3 ชั้น
ที่นี่ไม่มีรถไฟ คนส่วนใหญ่เดินทางด้วยรถบัสซึ่งมีเยอะเลยทีเดียว แถมมาแบบไม่ขาดสาย เราแนะนำให้โหลดแอพรถบัสของมาเก๊ามาไว้ในเครื่องเลย สะดวกมากๆๆๆๆ
สามารถเลือกจุดเริ่มต้นและปลายทางที่จะไปได้ พอรู้ว่าสายไหนผ่านที่ที่เราจะไปบ้างก็มาเลือกหมายเลขรถดูได้ว่าตอนนี้รถอยู่ตรงไหนแล้ว
เราใช้แอพนี้ควบคู่กับ Google Maps แต่แอพนี้แม่นเส้นทางการเดินรถกว่ามาก และเพราะมาเก๊าค่อนข้างเล็ก ในขณะที่ Google Maps บอกเราว่าระยะเวลาการเดินทางจะประมาณ 1 ชม. แต่พอเอาเข้าจริง ประมาณครึ่งชั่วโมงเราก็ถึงที่หมายแล้ว
ตามแผนที่วางไว้คือเราจะเที่ยวทั้งมาเก๊าและฮ่องกงในทริปนี้ เราเลือกมาลงที่มาเก๊าก่อนเพราะจะไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ชายหาด Hac sa และลองขึ้นรถบัส Macau-Zhuhai-Hongkong ที่เพิ่งเปิดใหม่ไม่กี่ปีมานี้นั่นเอง!
ทั่น iPhone บอกเราว่าพระอาทิตย์จะขึ้นประมาณ 7 โมงกว่า (เชื่อมันแหละ) เราก็เลยนั่งทำงานรอในสนามบินอยู่จนประมาณเกือบๆ ตี 5 ก็ออกไปหา Shuttle bus ตามที่พันทิปบอกคือมีรถวิ่งรับส่งระหว่างสนามบินกับโรงแรมตั่งต่างทั้งคืน ฮั่นแน่ ไอ้เราก็เชื่อคนง่าย เขาว่าไงก็ว่างั้น ไม่ได้เอะใจอะไรกับเขาหรอก แต่พอไปถึงที่จอดรถก็…
โน ๆ จ๊ะ เจ้าหน้าที่ทำเพียงโบกมือให้ฉัน ไปซะ ชิ่ว ๆ พอเข้าไปถามเจ้าหน้าที่ในสนามบินเขาถึงบอกว่ารถวิ่งประมาณ 7 โมง (มาค้นตอนหลังจากเวปโรงแรมถึงเพิ่งรู้ว่าเขาเริ่มวิ่งตอน 6.30 น. โดยประมาณ) อ่ะ ไม่เป็นไร มีพี่บอกว่าแท็กซี่ไม่แพง เมืองเล็กๆ งั้นก็ไปโลดดด
เราเรียกแท็กซี่ไปที่ Studio City เพราะที่นี่ฝากกระเป๋าได้ฟรี 24 ชั่วโมง
จากนั้นก็ได้เวลาไปตามแพลนของเรา ปลายทางของรถบัสเบอร์ 25 นั่นก็คือออ Hac sa Beach!
และ Long Chao Kok Coastal Trail!
แต่ทว่า…
เราขึ้นรถผิดฝั่งว่ะ
อ่ะ ไม่เป็นไร เดี๋ยวเขาก็เลี้ยวกลับ
เดี๋ยวก็เลี้ยวกลับ…
…
..
.
ไม่ว่ะ
จากแผนที่วางไว้ว่าจะไปทะเลทางใต้สุดของมาเก๊า ก็ต้องมาจบที่สถานีรถบัส Border Gate ทางเหนือสุดของมาเก๊าแทน เย้
ถือซะว่านั่งรถชมเมืองก็แล้วกันเนอะ ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว หาข้าวกินสักมื้อแล้วค่อยกลับไปเอากระเป๋าแล้วเดินทางไปฮ่องกงกัน!
Turbo Jet From Macau to Hongkong
เราขึ้นรถบัสฟรีจาก Studio City ไปลงที่ Macau Ferry Terminal พอไปถึงสถานีก็ต้องไปซื้อตั๋วก่อน เราเดินทางไปลงที่ Kowloon ราคาตั๋ววันเสาร์จะอยู่ที่ 177 MOP/HKD (1 MOP = 1 HKD) ถ้าใครกระเป๋าใหญ่ก็ต้องเอาไปโหลดแยก ต้องจ่ายเพิ่มอีก 25 MOP จากนั้นถึงผ่านด่านตรวจคนเข้าเมือง จากมาเก๊าเราผ่านเข้าไปได้ฉลุย แต่พอไปถึงด่านที่ฮ่องกงเราก็โดนเรียกไปคุยแยก คงเพราะเราเป็นผู้หญิง(ไทย)เดินทางคนเดียว เพื่อนเราที่บินมาลงที่ฮ่องกงคนเดียวก็โดนเช่นกัน เราจัดการเอาใบจองที่พัก ตั๋วเครื่องบิน และนามบัตรให้เขาดู สักพักเขาก็ปล่อยเราเข้าเมือง No problem
Shuttle bus from Hongkong to Macau
ถึงเวลาเดินทางกลับไปมาเก๊า เราเลือกเดินทางด้วยรถ Hong Kong-Zhuhai-Macau Bridge Shuttle Bus ข้ามสะพานเชื่อมเมืองที่เพิ่งสร้างใหม่ไม่กี่ปีมานี้ จากฮ่องกงวิ่งไปครึ่งทางจะมีทางแยกฝั่งหนึ่งไปมาเก๊า และฝั่งหนึ่งไปจูไห่
ท่ารถข้ามฟากตั้งอยู่ใกล้กับสนามบินฮ่องกง เรานั่งรถบัสสาย A21 จาก Tsim Sha Tsui ราคา 33 HKD มาลงที่สนามบิน ต่อรสบัสสาย B4 ที่ชั้นล่าง ราคา 6 HKD ไปที่ HZMB Hong Kong Port
ที่ท่าเรือเราต้องผ่านด่านตรวจโดยการสแกนพาสปอร์ต ดูเหมือนจะสะดวก แต่เครื่องสแกนติดยากสุดๆ จากนั้นก็ไปซื้อตั๋ว ราคา 65 HKD ซื้อได้ทั้งจากเครื่อง kiosk และพนักงานที่เคาเตอร์ สามารถใช้บัตร Octopus จ่ายได้ พอได้ตั๋วมาแล้วก็เดินไปขึ้นรถตามป้ายได้เลย ง่ายสุดๆ ส่วนกระเป๋าก็เอาไว้ใต้รถเหมือนรถทัวร์บ้านเราน่ะแหละ แนะนำให้นั่งที่ฝั่งขวาของรถเพราะรถขับเลนขวา จะได้ดูวิวสวยๆ ด้วย
45 นาทีผ่านไปรถก็มาถึงท่าเรือฝั่งมาเก๊า เดินออกจากสถานีไปก็จะมีทางให้ไปขึ้นรถบัสสาธารณะ รถบัสโรงแรม และแท็กซี่ เลือกได้เลยตามสะดวก
Macau Tower
หลังจากเช็คอินที่โฮสเทล และหาข้าวกินจนอิ่มท้อง เราก็ออกไปเดินเล่นยามค่ำคืน เป้าหมายของเราก็คือ Macau Tower ที่ห่างออกไปเกือบ ๆ 2 กม. แต่เพราะอากาศดีมากๆ ก็เลยเดินเล่นได้แบบชิล ๆ เวลาประมาณ 2 ทุ่มที่นี่ยังมีครอบครัวพากันมาเดินเล่น และเจอคนมาวิ่งออกกำลังกันเยอะมาก ๆ
Macau Tower ตั้งอยู่ริมแม่น้ำ เราก็เลยไปเดินสำรวจมานิดหน่อยและเจอคนมาตกปลากันด้วย ในเวลาแบบนี้! และข้าง ๆ ยังมีสนามบาสที่ยังคงครึกครื้นอยู่
9 / 1 / 2019
ถึงวันเที่ยวที่แท้จริงแล้ว!
เป้าหมายของวันนี้คือ Ruins of St. Paul’s, Taipa Village, และ Hac sa beach!
จากที่พักของเราเดินไป Ruins of St. Paul’s ได้ไม่ถึง 1 กม.
ระหว่างทางก็เจอร้านขายของชำ ร้านขนม และผ่านมาถึง Senado Square
และ St. Dominic’s Church
ก่อนจะขึ้นไปถึง Ruins of St. Paul’s ก็หาอะไรรองท้องกันซะหน่อย
แวะซื้อชาไป 1 แก้ว แล้วเราก็เดินขึ้นไปที่ Ruins of St. Paul’s กัน
Ruins of St. Paul’s
จุดที่คนเยอะสุด ๆ ก็คงไม่พ้นตรงหน้า gate ที่ถ้าเดินเข้าไปด้านในก็จะมีห้องที่จัดไว้ให้ความด้านประวัติศาสตร์ของที่นี่อยู่
ถ้าเดินจากบันไดด้านข้างขึ้นมาเรื่อย ๆ จนถึงจุดสูงสุด ก็จะเจอกับป้อมปราการที่ด้านในเป็นเหมือนสวนบนดาดฟ้าของ Monte do Forte สามารถมองเห็นวิวได้แบบ 360 องศาของมาเก๊าจากบนนี้ได้เลย
พอถึงเวลาอันสมควรเราก็กลับไปเอากระเป๋าที่โฮสเทล เอาไปฝากไว้ที่เดิมที่ Studio City และไปต่อยัง Taipa Village!
Taipa Village
ที่นี่เป็นหมู่บ้านที่มีทั้งร้านค้า ร้านอาหาร ร้านขายของฝาก แกลเลอรี พิพิธภัณฑ์ โรงเรียน วัด ฯลฯ ถึงแม้จะดูไม่ได้กว้างมากแต่ด้านในของหมู่บ้านยังมีป้ายรถบัสที่เข้ามารับคนออกไปส่งด้านนอก เราเดินเล่น เข้าแกลเลอรีและพิพิธภัณฑ์ ใช้เวลาอยู่ที่นี่ไม่นานมากประมาณครึ่งชั่วโมงก็ออกมาหารถต่อไปยัง Hacsa Beach ซึ่งตรงนี้แหละที่เราใช้เวลานานมากกก ต้องเดินข้ามฝั่งไปมา เพราะไม่รู้ว่าต้องขึ้นรถฝั่งไหน เข็ดจากวันแรกแหละ โถ่
Hac sa Beach
ทางเข้าของหาดมีร้านค้า สตรีทฟู้ดตั้งอยู่ ผู้คนไม่ได้พลุกพล่านมากนักอาจจะเพราะเริ่มเย็นแล้วด้วย
จุดเด่นของที่นี่คือหาดทรายที่เป็นสีดำสลับน้ำตาล และน่าจะเป็นแทบจะหาดเดียวที่เรียกได้ว่าหาดจริง ๆ ในมาเก๊า ตอนเรามาก็เจอคนนั่งวาดรูปอยู่ มีครอบครัวพาลูกมาเดินเล่น มีคนเล่นเรือใบ วันนั้นคลื่นที่นี่ไม่ได้สูงมาก แต่ลมค่อนข้างแรงเลยทีเดียว
ขึ้นจากหาดมาเราก็แวะซื้อของย่างที่ด้านหน้าและเดินต่อไปอีกหน่อยเพื่อไปยังจุดหมายถัดไปที่อยู่ไม่ไกลกันมาก
Long Chao Kok Coastal Trail
ที่นี่เป็นเส้นทางเดิน Trail ระยะไม่ไกลมาก ประมาณ 1-2 กิโล มีจุดเด่นตรงศาลาสีแดงที่ตั้งอยู่ระหว่างทางที่ใคร ๆ ก็ต้องแวะถ่ายรูปสักหน่อยแหละ เราชอบวิวโขดหิน เขาหินสีส้ม ๆ ของที่นี่มาก เจอคนมาตกปลากันอีกแล้ว
เดินเล่นตามเส้น Trail ไปจนสุด ก็เริ่มมืดแล้ว ใกล้ถึงเวลาที่เราต้องขึ้นเครื่อง เราก็นั่งบัสกลับไปเอากระเป๋า
มีเวลาเราก็เดินเล่นทั้งข้างนอกและข้างในสักหน่อย เพราะวันแรกต้องรีบฝากรีบออกเลยไม่ได้สำรวจอะไรเลย แน่นอนว่าระแวกนี้ก็จะเป็นแหล่งของโรมแรมและคาสิโน มีชอปแบรนด์เนมและร้านอาหารหรู ๆ อยู่ด้านในหลายร้าน เราไปด้อม ๆ มอง ๆ ที่หน้าคาสิโนสักพักก็ขึ้นรถบัสต่อไปที่สนามบิน
ระหว่างที่รถไปจอดรับคนที่โรงแรมหนึ่งก็เจอเซอร์ไพร์ส ด้วยที่ว่ารถบัสก็คงมีตารางเวลาออกของเขาอยู่ แต่ก็จอดค่อนข้างนานพอสมควร ผู้โดยสารก็เริ่มกระวนกระวายใจกันว่าฉันจะตกเครื่องไหม แต่พอถามคนขับก็ไม่มีสัญญาณตอบรับจากหมายเลขที่ท่านเรียก สักพักก็มีผู้โดยสารขอลงไปทำอะไรสักอย่าง เขาก็บอกคนขับว่า Please wait, 5 minutes. และก้าวขาลงจากรถไป ทันทีที่ผู้โดยสาร 2 คนก้าวพ้นประตูรถไป คนขับก็ปิดประตูและออกรถไปอย่างไร้เยื่อใย Like, what!? พี่จ๋าาา ยังไงนะ ไม่พูดอะไรกับเขาหน่อยเลยเหรอ ทำไมใจร้ายจัง หรือเขาเข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า จนตอนนี้เราก็ยังสงสัยว่า แล้วเขาไม่ได้เอากระเป๋าไว้ใต้รถเหรอวะ ได้แต่คิดแล้วก็สงสัย และก็หวังให้เขาขึ้นเครื่องทันด้วยเถอะ